วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การบริหาร “คน” ด้วย “ใจ”








การเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายและการที่จะบริหารองค์กรให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า เพราะผู้บริหารต้องรอบรู้ทั้งการบริหาร “ธุรกิจ” และการบริหาร “คน”

การบริหารคนนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ การที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในองค์กรนั้น “ทีมงาน” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพราะในโลกยุคนี้ไม่มีใครที่จะทำงานแบบวีรเอกชน แล้วประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ ทีมงานที่ดีคือปัจจัยสำคัญของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นักธุรกิจญี่ปุ่นนั้นมักจะใช้ แนวคิด “ริ-โทะ-โจ” หรือ “เหตุผลและความเห็นใจ”   ในการบริหารคน เพื่อการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ

การบริหารคนจะใช้เพียงเหตุผลเพียงอย่างเดียวเช่นการควบคุมเครื่องจักรกลไม่ได้ จะต้องใช้ “ใจ”ประกอบด้วย  เพราะคนมีความรู้สึกที่อ่อนไหวซึ่งไม่อาจจับต้องได้ ผู้บริหารที่มีความสามารถจะต้องซื้อใจลูกน้อง การซื้อใจดังกล่าวไม่อาจใช้เงินตราได้ ต้องใช้ใจของหัวหน้าเป็นเครื่องมือเท่านั้นจึงจะได้ใจของลูกน้องมาครอง


หลายท่านคงรู้จัก “โคโนสุเกะ มัทสึชิตะ” ผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจ “พานาโซนิค-เนชั่นแนล” เขาเป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งไม่เฉพาะแต่ในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในระดับโลกด้วย เขาเริ่มต้นทำงานจากศูนย์คือไม่มีทั้งเงินทุนและไม่มีการศึกษาระดับสูง เพราะคุณพ่อเขาหมดตัวจากการเก็งกำไรราคาข้าว มัทสึชิตะจึงต้องยุติการเรียนเมื่อมีอายุเพียง 9 ขวบ โคโนสุเกะ มัทสึชิตะ ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านการบริหารคน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ธุรกิจเล็กๆ ที่เขาเริ่มต้นเมื่อ พ.ศ.2461 เติบโตกลายเป็นธุรกิจอิเลคโทรนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก


มัทสึชิตะเชื่อมั่นว่าศักยภาพบุคคลากรคือความสำเร็จขององค์กร เขาจึงพูดเสมอว่า “เราผลิตคนและเราก็ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย” เขาถือว่าพนักงาน ในบริษัทที่เขาเป็นเจ้าของคือเพื่อนร่วมงาน และก็ประพฤติปฏิบัติต่อเขาเหล่านั้นประหนึ่ง “ลูกค้าประจำ” ขององค์กร เขาบอกว่าคนเปรียบเสมือน “เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไน” ฉะนั้นการที่ผู้บริหารจะได้พนักงานที่มีศักยภาพสูงเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับฝีมือในการเจียระไนของตนเอง  เขาจะเน้นให้พิจารณาคนจากข้อดีเป็นหลัก เพราะถ้าคำนึงถึงแต่ข้อด้อยแล้ว ผู้บริหารก็มักจะพบว่า พนักงานแต่ละคนมีข้อบกพร่องไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่งเสมอ ลูกน้องก็จะไม่มีความสุขในการทำงานกับหัวหน้างานที่มีแนวคิดดังกล่าว มัทสึชิตะจะ พยายามหาจุดแข็งของลูกน้องให้ได้ 70% และยอมรับจุดอ่อน 30% และใช้ประโยชน์จาก 70% นั้นให้ได้มากที่สุด

                                                                             

เขามักกล่าวอย่างถ่อมตนว่า เขาไม่ใช่คนเก่งและในกลุ่มธุรกิจ “พานาโซนิค-เนชั่นแนล” ของเขานั้นมีคนที่เก่งกว่าเขาอยู่มากมาย แต่เขาประสบความสำเร็จได้ เพราะเขารู้จักใช้ประโยชน์จากศักยภาพของคนเก่งเหล่านั้น


ท่านผู้อ่านที่เป็นนักธุรกิจที่กำลังประสบปัญหาเรื่องคนในองค์กรของท่านอยู่ ลองทบทวนดูว่าท่านใด้ใช้ใจในการบริหารคนของท่านหรือไม่ วีธีการบริหารธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับคนเป็นหลักของโคโนสุเกะ มัทสึชิตะ คงจะให้ “ข้อคิด” ที่เป็นประโยชน์ต่อท่านบ้างไม่มากก็น้อย


ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดยคุณปนัดดา เจณณวาสิน บอร์ดบริหารหญิงคนแรกของ อีซูซุ เวิลด์ไวด์

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อแฟนผมให้ผมไปออกเดทกับหญิงอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เธอ





หลังจากที่แต่งงานมาได้   21   ปี 
ผมก็ค้นพบวิธีใหม่ในการทำให้ความรักสดใสมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ 




เพรา ะ....วันหนึ่งภรรยาผมบอกว่า ผมต้องออกเดทกับผู้หญิงคนหนึ่ง 
มันเป็นไอเดียของเธอล้วน ๆ จริง ๆ นะ 


'   ฉันรู้ว่าคุณรักเธอ '   ภรรยาผมพูด 
' แต่ผมรักคุณนี่ '   ผมเถียง 


' ฉันรู้ค่ะ แต่คุณก็รักเธอคนนี้ด้วยเหมือนกัน ' 


ผู้หญิงคนนั้นที่ภรรยาอยากให้ผมไปหา คือ   ' แม่ '   ของผมเอง   
ซึ่งเธอเป็นหม้ายและใช้ชีวิตเพียงลำพังกับสัตว์เลี้ยงมา   19   ปีแล้ว 


เนื่องจากงานที่รัดตัว ทั้งเจ้านายและลูกค้าที่ผมจะต้องรับผิดชอบ 
และยังมีภรรยาและลูก ๆ ที่ต้องดูแล 
ทำให้ผมไปเยี่ยมแม่เพียงบางครั้งบางคราวเท่านั้น 


ผมตอบตกลงกับภรรยา และขอบคุณที่เธอให้โอกาสเช่นนั้น 
วันที่ผมโทรไปหาแม่ เพื่อชวนท่านออกไปทานข้าวเย็นและดูหนัง 
แม่ถามผมว่า   ' มีอะไรหรือ ?   ลูกสบายดีรึเปล่า ?' 
แม่คิดว่าการที่ผมโทรมาหาอย่างกระทันหัน 
หมายความว่ า   มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น   
ผมตอบแม่ว่า   ' ไม่มีอะไรคับ ก็อยากคุยกับแม่ และคงจะดีมาก ถ้าเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ตามลำพังสองคนแม่ลูกบ้าง ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ ดูหนังด้วยกันสักเรื่อง ' 
แม่นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า   ' ได้สิจ๊ะ แม่ยินดีมากเลยจ้ะ ' + ' แล้วลูกมีเวลาว่างแล้วเหรอจ๊ะ หยุดงานได้เหรอ ' ... 
เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ผมขับรถไปรับแม่ที่บ้าน   
ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย 


เมื่อผมไปถึงบ้านแม่ ผมก็สังเกตได้ว่า 
แม่เองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน   
แม่สวมเสื้อโค้ทนั่งรอผมอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว 


แม่ม้วนผมแล้วสวมชุดที่แม่ใส่ในวันฉลองครบรอบการแต่งงานครั้งสุดท้าย 
พลางยิ้มรับผมด้วยใบหน้าที่แจ่มใสราวกับทูตสวรรค์ 


แม่บอกเพื่อน ๆ ว่า   ' จะออกไปเที่ยวกับลูกชาย '     
แม่พูดขณะที่กำลังก้าวขึ้นรถ   เพื่อน ๆ ของแม่ต่างพากันประทับใจยกใหญ่ 


เราไปภัตตาคารที่ถึงแม้จะไม่หรูหรา แต่ก็ดีเยี่ยม   
บรรยากาศก็อบอุ่นสบาย ๆ มาก ๆ   
ผมวางแผนว่าต้องเป็นร้านในสไตล์ที่แม่ต้องชอบ 


แม่ควงแขนผมเดินราวกับว่าเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง 


หลังจากที่เรานั่งเรียบร้อยแล้ว   
ผมต้องเป็นฝ่ายอ่านเมนูอาหาร   
เพราะแม่บอกว่า   ' ตอนนี้สายตาของแม่อ่านได้เพียงตัวหนังสือตัวใหญ่ ๆ เท่านั้น ' 


เมื่อผมอ่านเมนูอาหารไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง 
จึงหยุดเว้นจังหวะ เพื่อให้แม่ได้เลือกรายการอาหาร 
ผมเงยหน้าขึ้น   มองเห็นแม่กำลังจ้องมองดูผมอยู่ด้วยรอยยิ้มระลึกถึงความหลัง 


แม่พูดเปรยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า   
' ตอนที่ลูกยังเด็ก แม่ต้องเป็นคนอ่าน เมนูให้ลูกฟังหลายรอบ '   


ผมบอกแม่ว่า   ' งั้นตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมจะผลัดเวรให้แม่นั่งฟังสบาย ๆ บ้างแล้ว '  


ในระหว่างมื้ออาหารนั้น เราคุยกันอย่างถูกคอ - ไม่ใช่เรื่องราวพิเศษอะไร - 
เพียงแต่สลับกันถาม ว่าชีวิตของเรา 
เราคุยกันสนุกมากจนไปดูหนังไม่ทัน 
...


เมื่อผมไปส่งแม่ที่บ้าน แม่พูดว่า   ' แล้วแม่จะออกไปเที่ยวกับลูกอีกนะ ' - 
' แต่คราวนี้ลูกต้องยอมให้แม่เป็นเจ้าภาพนะจ๊ะ ' 
' แน่นอนครับ '   ผมตอบตกลง 


' ดินเน่อร์เป็นยังไงบ้าง ?'   ภรรยาถาม เมื่อผมกลับถึงบ้าน 
' วิเศษมาก ๆ ดีเยี่ยมกว่าที่ผมคิดไว้มากเลย '   ผมตอบ 


อีกไม่กี่วันต่อมา แม่ผมเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน 
มันเกิดขึ้นกระทันหันมากจนผมช่วยอะไรไม่ทันเลย 


หลายวันต่อมา   
ผมได้รับจดหมายพร้อมใบเสร็จจากภัตตาคารที่ผมกับแม่เคยไป 
มีโน๊ตเล็กๆแนบมาด้วยว่า... 


' แม่จ่ายค่าอาหารชุดนี้เรียบร้อยแล้ว แม่รู้อยู่แล้วว่าแม่คงไปอีกครั้งไม่ได้ - 
แต่... แม่ก็จ่ายสำหรับสองคน คือ สำหรับลูกกับภรรยา - ลูกคงเดาไม่ถูกหรอกว่าวันนั้นมีความหมายต่อแม่มากแค่ไหน ,   รักลูกมากจ๊ะ ' 


ณ วินาทีนั้น ผมได้เข้าใจถึงความสำคัญของการกล่าวคำว่า   '' รัก ' 
ต่อคนที่เรารัก ในช่วงเวลาที่เค้าต้องการมัน 


ไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าครอบครัวของคุณ 
จงให้เวลากับพวกเค้าในเวลาที่พวกเค้าต้องการคุณ 
เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่อาจผลัดวันประกันพรุ่งได้ 


- มีบางคนบอกว่า หลังจากที่คลอด ลูกแล้วต้องใช้เวลาพักฟื้นราว   6   สัปดาห์ แม่จึงจะคืนสภาพเดิม 
คนนั้นไม่รู้ว่าหลังจากที่คุณได้เป็นแม่คนแล้ว ไม่มีคำว่าคนเดิมอีกต่อไป 
- บางคนบอกว่า คนเราเรียนรู้การเป็นแม่ได้เองตามสัญชาติญาณ 
คนนั้นไม่เคยพาลูกสามขวบไปซูเปอร์มาร์เกต 
- บ?งคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นน่าเบื่อ 
คนนั้นไม่เคยนั่งรถที่ลูกวัยรุ่นขับ หลังจากที่ได้ใบขับขี่มาหมาด ๆ 
- บางคนบอกว่า ถ้าคุณเป็นคนดี ลูกออกมาก็จะดีเอง 
คนนั้นนึกว่าเด็กคลอดออกมาพร้อมกับคู่มือการใช้และใบรับประกัน 
- บาง คนบอกว่า แม่ที่ดีไม่ควรขึ้นเสียงกับลูก 
คนนั้นไม่เคยเปิดประตูหลังบ้านออกมา ทันได้เห็นลูกหวดลูกบอลเข้าใส่หน้าต่างครัวของเพื่อนบ้านพอดิบพอดี 
- บางคนบอกว่า การเป็นแม่คนนั้นไม่ต้องมีการศึกษาก็ได้ 
คนนั้นไม่เคยช่วยลูกที่กำลังเรียน ป. 4   ทำการบ้านเลข 
- บางคนบอกว่า แม่รักลูกคนที่ห้าไม่เท่าลูกคนแรก 
คนนั้นไม่เคยมีลูกห้าคน 
- บางคนบอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการเป็นแม่ คือตอนคลอดและตอนเลี้ยง 
คนนั้นไม่เคยยืนดูลูกขึ้นรถเมลไปโรงเรียนอนุบาลวันแรก 
ไม่เคยส่งลูกเข้าห้องหอในคืนแต่งงาน 
- บางคนบอกว่า งานของแม่นั้นหมู ๆ ปิดตาสองข้าง หรือมัดมือไว้ข้างหนึ่งก็ยังไหว 
คนนั้นไม่เคยสอนการออกเดินขายขนมให้กับเหล่ายุวนารี 
ที่กระจุ๊กกระจิ๊กคิกคักกันอยู่ตลอดเวลา 
- บางคนบอกว่า แม่เลิกกังวลได้แล้ว หลังจากที่ลูกแต่งงานออกเรือนไป 
คนนั้นไม่รู้ว่าการแต่งงานคือการนำลูกชายหรือลูกสาวคนใหม่เข้ามาอยู่ในสายใยใจของแม่ 
- บางคนบอกว่างานของแม่ สิ้นสุดลงเมื่อลูกคนสุดท้ายออกจากบ้านไป 
คนนั้นไม่เคยมีหลานยาย หรือหลานย่า 
- บางคนบอกว่า แม่รู้ดีอยู่แล้วว่าคุณรักท่าน เพราะงั้น ไม่ต้องบอกท่านก็ได้ 
คนนั้นไม่เคยเป็นแม่คน..... 

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง




ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่ง
มีแขวนกระดิ่งเล็กๆไว้ที่ประตูร้าน
ทุกครั้งที่มีแขกเข้าร้าน ก็จะทำให้กระดิ่ง
นั้นส่งเสียงดัง `Ding Ding`

วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปี เข้ามาในร้านกาแฟนี้
เจ้าของร้านสาวสวยก็รีบออกมา ต้อนรับให้เขานั่งด้านใน

“กาแฟแก้วนึงครับ”
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
เจ้าของร้านสาวพูดพลางยิ้มให้อย่างมีมารยาท แล้วก็ไปบดเม็ดกาแฟ
และตั้งกาต้มกาแฟ ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวอยู่ตลอด
ไม่นานนัก เจ้าของร้านสาวก็นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะชายหนุ่ม

“ขอบคุณครับ”
“คุณเพิ่งมาเป็นครั้งแรกใช่ไหม? รู้สึกว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
เจ้าของร้านสาวถาม

“ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากๆเลยครับ”
“ฉันก็ชอบบรรยากาศของร้านนี้มากเหมือนกันถึงแม้ว่ากิจการร้านนี้ไม่ค่อยดีนัก
ฉันกับสามีก็เสียดายไม่อยากจะปิดร้านทิ้ง”
ทั้งคู่เงียบไปสักพัก

“ผมขอถามอะไรคุณบางอย่างได้ไหมครับ? เอ่อ... ก่อนที่จะถามคุณ
ผมอยากจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้คุณ
ฟังก่อน” ชายหนุ่มพูดถามขึ้นมา

“ได้ค่ะ คุณพูดมาได้เลย” เจ้าของร้านสาวก็สนใจที่จะฟัง
ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งผ่านมานานมากแล้ว

“เมื่อก่อนผมมีแฟนคนหนึ่ง
เราสองคนก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตแล้ว ความรักของเรา
สองคนนั้นถึงแม้จะธรรมดา แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว เพราะผมรักเธอมาก
เพียงแค่มีเธออยู่ข้างๆผมก็มีความสุขมากแล้ว

แต่ทว่า ความสุขอันนี้มันช่างสั้นนักหลังจากนั้นก็มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
ก่อนหน้าพิธีหมั้นของเราสองคนหนึ่งเดือน คืนนั้นผมมีธุระต้องทำ
จึงไม่สามารถไปส่งเธอกลับบ้านได้ ในคืนนั้น เธอโดนคนร้ายรุมข่มขืน...”

“แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรคะ? ความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปหรือ?”
เจ้าของร้านสาวถามด้วยความสงสาร

“ถึงแม้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ความรักของผมที่มีให้เธอก็คงยังมั่นคง
มิได้แปรเปลี่ยนเลยสักนิด ผมก็ตั้งใจจะจัดพิธีหมั้นขึ้นตามเดิม

แต่... เธอคิดไม่ตก เธอเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นเธอคนเดิมแล้ว
ในวันหมั้นของเราสองคนวันนั้น เธอผูกคอตาย
โชคยังดีที่ว่าพวกเราพบเธอได้เร็ว ช่วยชีวิตเธอไว้ได้
แต่เพราะว่าสมองขาดอ็อกซิเจ็นนานเกินไป ทำให้
เธออยู่ในสภาพไม่มีความรู้สึกตัว และอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้...

สุดท้าย เธอก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผมรู้ว่าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบไปหาเธอ
แต่พ่อแม่เธอขวางกั้นผมไว้ไม่ให้ไปพบ
เธอ พวกเขาคุกเข่าลงมาขอร้องผม กลายเป็นว่าความทรงจำบางส่วนได้หายไป
หมอบอกว่าเมื่อคนโดนกระตุ้นจิคใจอย่างแรง ก็อาจจะเลือกที่
จะหลบหลีกความทางจำอันนั้นโดยการฝังลึกไว้ในใจตัวเอง
ไม่ต้องการที่จะจำเรื่องเลวร้ายนั้นอีก เธอลืม
หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาด้วย

พ่อแม่เธอขอร้องให้ผมอย่าเพิ่งไปพบเธอสักพัก
เขาไม่ต้องการให้เธอนึกถึงเรื่องน่าเศร้านั้นอีก เพราะกลัว
ว่าเธอจะฆ่าตัวตายอีก บังเอิญเจอกันในที่อื่น ก็จะทำเป็นไม่รู้จัก
ไม่ทักทายกันเด็ดขาด ช่วงเวลานั้นมันช่างทรมานยิ่งนัก อยากรัก
เธอ แต่ไม่อาจทำได้ อยากจะพบหน้าเธอ แต่ก็ไปพบไม่ได้

วันนี้ เป็นวันครบสิบปีนั้นแล้ว”
“ขอแสดงความยินดีให้ด้วยค่ะ คุณรอคอยมาสิบปีแล้ว
ในที่สุดวันนี้ก็สามารถไปพบเธอได้แล้ว”

“ใช่ครับ แต่... ยิ่งใกล้ถึงเวลานี้ ผมก็ยิ่งกลัว สิบปีที่ผ่านมานี้
ความรักผมนั้นยังไม่เปลี่ยน แต่ตัวเธอล่ะ? ถ้า
ผมเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟัง เธอก็ยังจำผมไม่ได้ แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ?
หรือว่าเธอได้แต่งงานไปแล้ว ผมควรจะทำเช่นไรดี?

เพราะเช่นนี้ ผมอยากจะถามคุณว่า คุณคิดอย่างไร?ถ้าแฟนผมคนนี้แต่งงานไปแล้ว
ผมควรจะบอกให้เธอได้รับรู้เรื่องนี้มั้ย?”

เจ้าของร้านสาวก็พูดอย่างจริงใจว่า “ถ้าสมมุติว่าเธอมีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร
เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้แต่งงานกัน คุณยังมีโอกาศ
แต่ถ้าเธอคนนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้วคุณก็ไม่ควรไปทำลายครอบครัวเขา”
ชายหนุ่มได้รับฟังแล้ว ก็แค่ตอบสั้นๆด้วยความผิดหวัง... “นั่นสินะ...”

`Ding Ding`
พอดีเวลานี้ก็มีแขกคนอื่นเข้ามาในร้าน เจ้าของร้านสาวก็พูดกับชายหนุ่มว่า
“ฉันต้องไปต้อนรับแขกแล้ว เชิญตามสบายนะคะ”

เธอเดินออกไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาถามเขาว่า “จริงสิ
คุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยสนิทกับฉัน
มากนัก ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังล่ะคะ?”

“เพราะว่า เธอคนนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า หลังแต่งงานแล้ว
เธออยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆอย่างนี้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มคิดสักครู่ถึงตอบออกมา

“อ๋อ อย่างนี้เองหรือคะ”พูดจบเธอก็หันหลังกลับเดินไปต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่ ...
ชายหนุ่มมองตามร่างของเจ้าของร้านสาวนั้น.. น้ำตาเขาค่อยๆหยาดไหลออกมา..
เขาตัดสินใจไม่บอกเธอว่า แท้จริงแล้วเขามาที่ร้านนี้เพื่ออะไร
..แฟนของเขาคนนั้น.. อยู่ใกล้แค่เอื้อม..
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอนั้นมันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน..

กาแฟในแก้วนั้น ก็ไม่รู้เย็นลงตั้งแต่เมื่อไหร่...

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เมื่อฉันแก่ตัวลง

เป็นเรื่องเล่าของลูกผู้ชายชาวจีนคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นต้องมีภารกิจเดินทาง
และตั้งถิ่นฐานอยู่ไกลจากพ่อแม่ แต่ก็มักติดต่อพูดคุยทางโทรศัพท์กับแม่อยู่เสมอ...

แม่มักจะบอกเขาว่า “ไม่ต้องห่วงแม่” ไม่ต้องกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ
เพราะจะสิ้นเปลืองเงินทอง... ยิ่งพูดก็ยิ่งซ้ำๆซากๆ เขารู้ดีว่า แม่เริ่มคิดถึงเขามาก

จนกระทั่งปีนึง ที่แม่มีอายุครบ 75 เขาจึงตั้งใจจะกลับไปเยี่ยมแม่
โดยตั้งใจว่าจะอยู่ด้วยสัก 1 เดือน ขอเป็นเพื่อนแม่เพียงอย่างเดียว

พอบอกข่าวนี้ให้แม่ทราบ แม้จะมีเวลาอีกตั้ง 2 เดือนเศษ
แม่ก็เริ่มเตรียมตัวในการกลับมาเยี่ยมบ้านของลูก
แม่ดึงเอาสมุดบันทึกมาจดสิ่งที่ต้องตระเตรียม
แม่เตรียมรายการอาหารที่ลูกชอบ รื้อเอาผ้าห่มที่ลูกเคยชอบห่มมาปะชุนใหม่...
สำหรับคนอายุ 75 เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย...

พอลูกกลับถึงบ้าน ตอนอยู่บนเครื่องบิน
เคยตั้งใจว่าจะขอกอดแม่ให้ชื่นใจสักครั้ง
แต่พอมาเห็นแม่ แม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผอมแห้ง หน้าตาเหี่ยวย่น
ช่างไม่เหมือนแม่ คนก่อนหน้านี้เลย...

แม่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเตรียมอาหารที่ลูกเคยชอบ
โดยที่หาทราบไม่ว่า ลูกไม่ได้ชอบอาหารแบบนั้นแล้ว
และเพราะแม่ตาไม่ค่อยดี รสชาติอาหารจึงแย่มากๆ
บางจานก็เค็มจัด บางจานก็จืดสนิท
ผ้าห่มที่แม่อุตส่าห์เตรียมให้
ทั้งหนาทั้งหยาบ ไม่สบายกายเลย...
แม่หารู้ไม่ว่า เดี๋ยวนี้ลูกนอนห้องแอร์ และใช้ผ้าห่มขนแกะแล้ว
แต่เขาก็ไม่บ่นอะไร เพราะเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นเพื่อแม่จริงๆ

สองสามวันแรก แม่ยุ่งอยู่กับเรื่องจิปาถะ จนไม่มีเวลาพักผ่อน
พอเริ่มได้พัก แม่ก็เริ่มพูดมาก สอนโน่นสอนนี่ พูดแต่ปรัชญาเก่าๆ
ซึ่งปรัชญาเหล่านั้น 10 กว่าปีก่อนก็เคยพูดแล้ว
พอลูกบอกให้ฟังว่า ปรัชญาเหล่านั้นไม่ทันสมัยแล้ว
แม่ก็เริ่มนิ่งเงียบและเศร้าซึม...

เหตุการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เขาพบว่าสุขภาพแม่แย่ลง
โดยเฉพาะสายตา บางครั้งเขาพยายามชวนแม่
ไปกินอาหารนอกบ้าน
แม่ก็บอกอาหารข้างนอกไม่สะอาด
เมื่อเขาบอกแม่ว่า จะหาคนรับใช้มาช่วยแม่สักคน
แม่ก็โวยวายว่า แม่เองยังสามารถทำงานได้...

เขาเลยพูดไม่ออก พอเขาจะออกไปช้อปปิ้ง
แม่ก็จะตามไปด้วย ทำเอาวันนั้นทั้งวัน ไม่ได้ซื้ออะไรเลย

เมื่อเขาคุยกับเพื่อนในเรื่องทันสมัย...
แม่ก็หาว่าพวกเขาเพี้ยน
เขาก็เริ่มบอกแม่อย่างไม่ค่อยเกรงใจว่า
แม่นี่มันสมัยใหม่แล้ว แม่ก็ต้องหัดมองโลกในแง่ใหม่ๆ บ้าง...
ช่วงครึ่งเดือนหลังที่อยู่กับแม่ เขาเริ่มขัดแม่มากขึ้นเรื่อยๆ
และรู้สึกรำคาญเพิ่มมากขึ้น แต่แม่ลูกเขาก็ไม่เคยทะเลาะกันนะ
พอเขาขัดแม่ แม่ก็หยุดกึกลง ไม่พูดไม่จา นัยน์ตามีแววเหม่อลอย –
โรคซึมเศร้าแบบคนแก่ของแม่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ ....

ได้เวลาที่เขาจะเดินทางกลับ
แม่ดึงกล่องกระดาษกล่องหนึ่งออกมา
ในนั้นเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ที่แม่ตัดเก็บไว้
ในช่วงที่เขาไม่อยู่
แม่เริ่มสนใจข่าวสารบ้านเมือง
ทุกครั้งที่มีข่าวตึงเครียดในจังหวัดนั้นๆ
แม่จะต้องตัดข่าวเก็บไว้ ตั้งใจจะมอบให้เขา
ตอนที่เขากลับมา แม่พูดอยู่เสมอว่า อยู่ไกลบ้านต้องระวังตัวให้มากๆ...

แม่ดึงเอาปึกกระดาษข่าวนั้นออกมาอย่างยากลำบาก
วางใส่ในมือเขาเหมือนของวิเศษชิ้นหนึ่ง
มันหนักมาก
เขาเริ่มรู้สึกลำบากใจ เพราะเขาไม่อยากนำกลับไป
มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
เขารู้ว่าแม่เก็บมันด้วยความยากลำบาก
แม่สายตาไม่ค่อยดี ต้องใช้แว่นขยาย
อ่านได้วันละ 2 หน้าก็เก่งแล้ว นี่ยังตัดเก็บได้ขนาดนี้...

ทันใดนั้น มีข่าวแผ่นหนึ่งปลิวหลุดลงมา
แม่รีบเอื้อมไปหยิบ แต่แทนที่แม่จะเก็บเข้ากองเดิม
แม่กลับพับเก็บไว้ในกระเป๋าของตัวเอง
เขารู้สึกเอะใจ เลยถามว่า “แม่ นั่นกระดาษอะไร ขอผมดูหน่อยนะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงล้วงออกมาวางบนข่าวปึกนั้น
แล้วหุนหันเข้าครัวไปทำกับข้าวทันที

เขาหยิบแผ่นข่าวนั้นขึ้นมาดู มันเป็นบทความบทหนึ่ง
ชื่อว่า “เมื่อฉันแก่ตัวลง”
ตัดจากหนังสือพิมพ์เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2004
เป็นช่วงที่เขาเริ่มเถียงกับแม่ถี่มากขึ้นทุกที
บทความนี้คัดมาจาก นิตยสารฉบับหนึ่งของแม็กซิโก
ฉบับเดือนพฤศจิกายน เขาอ่านบทความนั้น รวดเดียวจบทันที...


เมื่อฉันแก่ตัวลง ไม่ใช่ฉันที่เคยเป็น...
ขอโปรดเข้าใจฉัน มีความอดทนต่อฉันเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
ตอนฉันทำแกงหกใส่เสื้อตัวเอง...
ตอนฉันลืมวิธีผูกเชือกรองเท้า...
ขอให้คิดถึงตอนแรกๆ ที่ฉันใช้มือสอนเธอทำทุกอย่าง....

ตอนฉันเริ่มพร่ำบ่นแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอรู้สึกเบื่อ...
ขอให้อดทนสักนิด อย่าเพิ่งขัดฉัน
ตอนเธอยังเล็กๆ ฉันยังเคยเล่านิทานซ้ำๆซากๆ
ที่เธอชอบฟังจนหลับไป...

ตอนฉันต้องการให้เธอช่วยอาบน้ำให้ อย่าตำหนิฉันเลย
ยังจำตอนที่เธอยังเล็กๆ ฉันต้องทั้งออดอ้อน ทั้งปลอบ
เพื่อให้เธอยอมอาบน้ำได้ไหม...
ตอนฉันงงกับวิทยาการใหม่ๆ อย่าหัวเราะเยาะฉัน
จำตอนที่ฉันเฝ้าอดทน ตอบคำถาม “ทำไม ทำไม”
ทุกครั้งที่เธอถามได้ไหม...

ตอนฉันเหนื่อยล้า จนเดินต่อไม่ไหว
ขอจงยื่นมือที่แข็งแรงของเธอออกมาช่วยพยุงฉัน
เหมือนตอนที่ฉันพยุงเธอให้หัดเดิน...
ในตอนที่เธอยังเล็กๆ

หากฉันเผอิญลืมหัวข้อที่กำลังสนทนากันอยู่
ให้เวลาฉันคิดสักนิด...
ที่จริงสำหรับฉันแล้ว กำลังพูดเรื่องอะไรไม่สำคัญหรอก
ขอเพียงมีเธออยู่ฟังฉัน
ฉันก็พอใจแล้ว...

ตอนเธอเห็นฉันแก่ตัวลง ไม่ต้องเสียใจ
ขอให้เข้าใจฉัน   สนับสนุนฉัน...
ให้เหมือนตอนที่ฉันสนับสนุนเธอ
ตอนเธอเพิ่งเรียนรู้ใหม่ๆ...
ตอนนั้นฉันนำพาเธอเข้าสู่เส้นทางชีวิต
ตอนนี้ขอให้เธอเป็นเพื่อนฉัน
เดินไปให้สุดเส้นทาง...
ให้ความรักและอดทนต่อฉัน
ฉันจะยิ้มด้วยความขอบใจ
ในรอยยิ้มของฉัน...มีแต่ความรัก
อันหาที่สิ้นสุดมิได้ของฉัน
ที่มีให้กับเธอ...สุดท้าย...เท่าที่ทราบ ลูกชายก็ตัดสินใจไม่ขนสัมภาระบางอย่างกลับไป
แต่ขนหนังสือพิมพ์ที่แม่เขาตัดไว้ให้ทั้งหมดไปด้วย...


เราไม่ได้ ไม่รักกัน



บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป

ที่ความรัก..จะต้องจบลง

ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก
*

บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง

แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี

นอนซม..อยู่บนเตียง

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว ..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น

แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี

ถึงแม้วันนี้..สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี

แต่..ในวันสุดท้าย..ของชีวิต

เพื่อน-ที่เธอรักที่สุด..

ก็มานั่งเคียงข้างเธอ..อยู่ตรงนี้

มาส่งเธอ..เหมือนทุกครั้ง..ทุกคราว
*

“หมอบอกว่า..ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก”

เธอ..เอ่ยบอกกับเขา ...

เพื่อนชรา..ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก

“ฉันรู้”

ชายชรา..พยักหน้ารับ

“เธอมาส่งฉัน..เหมือนทุกทีสินะ”

หญิงชรา..มองหน้าชายชรา

“ใช่..ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ”

ชายชราตอบ..ด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น.. บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก..”

เธอ..รำลึกความหลัง


“แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน”

ชายชราบอก

“ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน ..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน”

หญิงชราพูดขึ้น

“สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป”

เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

“ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ”

เธอเย้ายิ้มๆ

“แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม... จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ”

ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว..เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ

“โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอ-มาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน”
*

นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย ..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่

พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ .. พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...

พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา

“กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ”

…และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ
*
เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ

ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน ..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน

“มัน..นอกใจเธอ”

เขาบอกเรียบๆ..

แต่..เธอไม่เชื่อ
วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย ..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก ..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา

“มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร”
*
เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ ..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า

"กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ"

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆนั้น ..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..

เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..

เธอจะแต่งงาน..

เขา..มองหน้าเธอ..

เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร

..ดีใจ?

..เสียใจ?

และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ ..เขาก็ตอบว่า..

“..เราใจหาย..”
*
แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้นิสัยดี ..และรักเธอจริง

“เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก”

ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..

วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..

“ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง”

เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ ว่า..

“ฝากด้วยนะ..”
*
เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา

เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ

มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป

แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน

เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี

ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ

เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ

น้อยกว่า..อยู่ใบนึง.
.
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน..

บางที ..เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก

หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย..

และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย ..ที่เขาฝากไว้ที่เธอ..เธอก็รับ..และเก็บงำมันไว้..ด้วยความเต็มใจ..

*

“คิดอะไรอยู่?”

เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ

“เรา..กำลังนึกแปลกใจ”

เธอเอ่ย..ด้วยท่าทีครุ่นคิด

“ทำไม..เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน?”

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน

”เราสนิทกันมาก..มั้ง”

เขาว่า

“นั่น..ไม่น่าใช่เหตุผลนี่”

เธอว่า

“เธอ..ถามยากไปนะ”

เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่

“ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?”

แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น

“อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย”

เขาพูดขึ้น

เธอมองหน้าเขา.. แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..

“ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน”

เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

”แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ”

เขาเว้นช่วง

“ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”

เธอหลับตาลง.. คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง

“นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”

เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง

ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่เอื้อมมากุมมือเธอไว้

“กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ..”

และนั่น..

คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน…  

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระพยอม เล่ากรรมที่ทำกับพ่อ


สิ่งที่พระพยอมเสียใจที่สุดในชีวิต

อยากให้ "ลูก" ทุกคนได้อ่าน...

เคยทำอะไรให้พ่อเสียใจบ้างหรือเปล่า....
อาตมามีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง โยมพ่อของอาตมาเป็นคนขี้เหล้า... หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็กินเหล้าหมด พอเมาก็ดุด่าโยมแม่กับอาตมา อาตมาไม่ชอบพ่อมาก
                  วันหนึ่ง โยมพ่อเมากลับบ้านไม่ไดมีคนให้อาตมาพายเรือไปรับ ตอนนั้น อาตมายังเป็นวัยรุ่น ทำงานมาทั้งวันก็อยากจะนอน.... อยากพักผ่อน.... อาตมารู้สึกโมโหมาก พอพายเรือกลับบ้าน ก็ทิ้งโยมพ่อไว้ในเรือ แต่พ่อเมามากลุกไม่ไหว ตะโกนเรียก.... "ไอ้ยอม... ไอ้ยอม... มึงมา อุ้มกูขึ้นบ้านหน่อย...กูขึ้นไม่ไหว " ไอ้เราก็ทนรำคาญไม่ไหว เดินกระทืบเท้า ตึง.. ตึง.. ตึง.. กระชากร่างพ่ออุ้ม ในขณะที่อุ้ม..ความรู้สึกเจ็บแค้นที่พ่อทำให้เราลำบาก ชอบด่าว่าเราเจ็บ พออุ้มพ่อขึ้นมาจากเรือ... ถึงหัวสะพาน จับร่างพ่อกระแทกกับหัวสะพาน ก้นพ่อกระแทกกับ พื้นไม้อย่างแรง เสียงดังโครม....
                  พ่อแกร้องไห้...... แล้วพูดว่า "ไอ้ยอมนะ... ไอ้ยอม.. กูอุ้มมึงมาแต่เล็กแต่น้อย.... กูนอนหลับ.. แต่มึงไม่ยอมนอน... ร้องไห้กวน.. กูต้องลุกมาอุ้มมึง... ร้องเพลงกล่อมให้มึงนอน จะไปไหนมึงเดินไม่ไหว.... มึงเหนื่อย.. กูก็ต้องอุ้มมึง..... ทั้งที่กูก็เหนื่อย...... กูอุ้มมึง..... มึงทั้งขี้ทั้งเยี่ยวใส่กู.... แต่กูไม่เคยทุ่มมึงลงกับพื้นสักครั้งเลย... เพราะกูรักมึง...... วันนี้.. มึงอุ้มกู.... เหล้ากูไม่ได้หกโดนมึงสักนิด มึงทุ่มกูลงพื้นทำไม "
               พอพ่อพูดจบ น้ำตาอาตมาไม่รู้มาจากไหน.... มันไหลพรูลงมาอาบสองแก้ม อาตมาเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน ก้มลงกราบพ่อ แล้วพูดว่า..... "พ่อครับ ต่อจากนี้ไป... ผมจะอุ้มพ่อตลอดชีวิต ... โดยไม่บ่นและทุ่มพ่อ ลงพื้นอีกแล้วละครับ ..." หลังจากนั้น.... อาตมาทำงานอย่างหนักเพื่อมาให้พ่อ หวังให้พ่อสบายขึ้น
              แต่เมื่อถึงวันนั้น มันก็สายไปแล้ว.... โยมพ่อได้จากอาตมาไปแล้ว ....คิดแล้วมันทรมานใจเหลือเกินอาตมาทำผิดพลาดไปแล้ว และแก้ไขไม่ได้ จึงอยากเตือนทุกคนเอาไว้ไม่อยากให้เสียใจไปตลอดชีวิต

...
...
...

ปล. เคยได้ยินมาว่า....
ข้าวร้อนๆกับปลาเค็ม1 ชิ้นตอนพ่อมีชีวิตอยู่
มีค่ามากกว่า"เนื้อมังกร...หน้าศพ" ตอนพ่อตาย...





วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553

คุณเคยทำแบบนี้กับพ่อและแม่หรือปล่าว ?



หญิงแก่วัยเลย 60 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยมหลัง 
  
จากแต่งงานและย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี 

หญิงแก่...แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก เห็นลางๆ 

แจ๊ค...อ๋อ วัวแหนะแม่ 
  
................ 

ผ่านไป 2-3 นาที 
หญิงแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก 
แจ๊ค...วัว ตัวเดิมนั่นแหละแม่ ยังไม่ไปไหนเลย 
  
............. 

ผ่านไปอีก 2-3 นาที 
หญิงแก่...แจ๊ค นั่นอะไรอีกละลูก 
แจ๊ค...(เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวแม่วัว วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ 
  
...................... 

เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที 
หญิงแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก 
แจ๊ค...เอ๊ะแม่นี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆซาก ผมจะบอกครั้งสุดท้ายแล้วนะว่าวัว 
  
................. 

ผ่านไปอีก 2-3 นาที 
หญิงแก่...แจ๊ค นั่นอะไรลูก 
แจ๊ค...โอ๊ย ! แม่เลอะเลือนแล้ว คุยไม่รู้เรื่อง ผมไม่คุยกับแม่แล้ว 
  
..................  

แล้วแจ๊คก็ผละจากแม่ไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด 
  
เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้เป็นแม่ลงมา 

แจ๊คจึงเดินไปตามที่ห้อง ณ ที่นั้น เขาได้พบหญิง แก่คนนั้น นั่งเหม่อลอย 
  
ข้างๆมีไดอะรี่เก่าๆเล่มหนึ่งที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ 

แจ๊คถือวิสาสะเข้าไป อ่าน ความว่า... 

ครั้งหนึ่งเมื่อ 30 ปีมาแล้ว เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมาก 
  
เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊คในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง ตอนนั้น 
  
แจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน พอดีมีวัวผ่านมา... 

แจ๊คถามเราว่า แม่ นั่นอะไร...วัวไงลูก เราตอบ เวลาผ่านไปอีกไม่ถึง 1 นาที 
  
แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก เป็นอย่างนี้อยู่ถึง 25 ครั้ง... 
  
เราไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยที่จะ ตอบคำถามเดิมๆเหล่านั้น เรากลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุด 
  
ที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย.... 
  
..................... 
  
  
แต่ในวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถาม 
  
คำถามเดียวกัน หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นคนตอบ... 

เพียง 5 ครั้งเท่านั้น ลูกก็ตวาดเรา หาว่าเราเลอะเลือน รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป....